หลักเมืองรุ่นพิเศษ (9 รอบ 9 พิธี 108 ปี ท่านขุนพันธ์ฯ)
9 รอบ 9 พิธี 108 ปี ท่านขุนพันธ์ฯ (หลักเมืองรุ่นพิเศษ) วัดหน้าพระธาตุ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช
ชนวนมวลสาร หัวใจสำคัญในการจัดสร้างวัตถุมงคงให้บังเกิดความเลิศล้ำ สิ่งที่ไม่อาจละเลยมองข้ามได้ก็คือการแสวงหามวลสารศักดิ์สิทธิ์มาผสมผสานลงในเนื้อหาดังเช่นรุ่น 9 รอบ 9 พิธี 108 ปี ท่านขุนพันธ์ (หลักเมืองรุ่นพิเศษ นี้ได้มีความวิริยะอุตสาหะแสวงหามวลสารมากมายมาเป้นส่วนผสม นอกเหนือจากมวลสารหลักคือผงมวลสารว่าศักดิ์สิทธิ์นับร้อยนับพันชนิดของ พล.ต.ต. ขุนพันธรักษ์ราชเดช ซึ่งต่อมาได้บังเกิดเป็นมวลสาร ของวัตถุมงคลหลายรุ่นผ่านพิธีประจุพุทธาคมทับถมกันครั้งแล้วครั้งเล่าจนทุกวันนี้ อาทิรุ่น ขุนพันธ์พุทธาคมเขาอ้อ รุ่นมงคลจักรวาล พุทธาคมเขาอ้อ รุ่นเจ้าสัวเบตง รุ่นบูรณะหลักเมืองนครศรีฯ 2547 รุ่นพุทธศิลป์ย้อนยุค วันนาสน รุ่นไตรภาคีศรีนคร วัดนางตรา รุ่นพุทธามหาเวท วัดศาลาไพ รุ่นพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง วัดหน้าพระบรมธาตุ ซึ่งล้วนแล้วแต่นำมวลสารมาผสมในรุ่นนี้ทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังได้แสวงหามวลสาระสำคัญย้อนรอยตำนานหลวงพ่อทวด หลายแห่งที่มีความเกี่ยวพันกับท่านอันมีมวลสารจากวัดช้างให้ วัดพะโค๊ะ วัดดีหลวง วัดสีหยัง วัดโพธิเจติยาราม มาเลเซีย สำนักสงฆ์ต้นเลียบ นาเปล ศาลาหลวงพ่อทวดท่าแพ วัดเสมเมือง วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร วัดหัวลำภูใหญ่ ศาลาหลวงพ่อทวดบ้านโกฏ วัดเขาอ้อ วัดแค อยุธยา และที่เลิศล้ำสำคัญยิ่ง คือมวลสารพระผงพระพุทธชินราช ภ.ป.ร. ซึ่งมีส่วนผสมของผงพระเบญจภาคี และผงในหลวงพระราชทาน คือ ผงจิตรลดา
พิธีกรรมมหามงคล นับเป็นความยิ่งใหญ่อลังการซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน ในประวัติศาสตร์การจัดสร้างวัตถุมงคลในเมืองนครศรีธรรมราช โดยเฉพาะองค์ท้าวจตุคาม และท้าวรามเทพ แม้กระทั่ววัตถุมงคลหลวงพ่อทวด ซึ่งในการจัดสร้างวัตถุมงคลรุ่น 9 รอบ 9 พิธี 108 ปี ท่านขุนพันธ์ (หลักเมืองรุ่นเศษ) อันทรงคุณค่าครั้งนี้ได้มุ่งมั่นประกอบพิธีรวม 9 วาระมหามงคล เพื่อให้บังเกิดความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ชนิดมิอาจประมาณได้ นอกจากเนื้อหาภายในจะมีความศักดิ์สิทธิ์ทุกอนุเนื้อ ภายนอกยังได้เคลือบทัพพลังพุทธาคมอย่างเข้มทรงพลังหลายวาระ ซึ่งจะส่งผลให้วัตถุมงคล รุ่น “9 รอบ 9 พิธี 108 ปี ท่านขุนพันธ์” (หลักเมือง รุ่นพิเศษ) นี้บรรลุถึงความเป็นวัตถุมงคลกฤตยาคมแฝด ซึ่งโบราณจารย์เรียกขานกันว่าดีตั้งแต่เนื้อในยันผิวนอก เข้มขลังไม่มีวันเสื่อม
วาระที่ 1 ได้ประกอบพิธีบวงสรวงดวงวิญญาณหลวงพ่อทอด เมื่อวันที่ กุมภาพันธ์ 2549 เวลา 08.19 น. ณ ศาลาหลวงพ่อทวด วัดท่าแพ (สถานที่ซึ่งหลวงพ่อทวดผูกแพกลางน้ำเพื่ออุปสมบท)
วาระที่ 2 ได้ประกอบพิธีบวงสรวงดวงวิญญาณหลวงพ่อทวด เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา 13.19 น. ณ ศาลาหลวงพ่อทวด วัดเสมาเมือง (สถานที่ซึ่งหลวงพ่อทวด เมื่อครั้งเป็นสามเณร ได้มาศึกษาพระธรรมวินัย)
วาระที่ 3 ได้ประกอบพิธีบวงสรวงขออนุญาติ หน้าสถูปเจดีย์ ณ วัดช้างให้ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2547
วาระที่ 4 ประกอบพิธีบวงสรวงปลุกเสกปรุงยาวาสนามหาจินดามณีต่อหน้าเบื้องพระพักตร์องค์พระพุทธปฏิมาโดยพระอาจารย์สมพงษ์ วัดท่าเสา จ.สมุทรสาคร เป็นเจ้าพิธีกรรมฝ่ายสงฆ์ และอาจารย์ เอกวิทย์ ยอดระบำ ศิษย์เอก พล.ต.ต. ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นเจ้าพิธีกรรมฝ่ายฆราวาส ณ วิหารหลวงวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ในวันที่ 20 มีนาคม 2549
วาระที่ 5 ประกอบพิธีบวงสรวงเทพยดา เปิดพิมพ์พระผงยาวาสนามหาจินดามณีนำฤกษ์ และเททอง รูปเหมือนหลวงพ่อทวดนำฤกษ์ รวมทั้งเททองโลหะชนวนทุกเนื้อคือ ทอง นาก เงิน นวโลหะ ฝ่าบาตร ทองแดง เพื่อนำชนวนเนี้อไปจัดสร้างเหรียญ ทุกแบบพิมพ์ (เป็นการปลุกเสกเนื้อใน) ณ วัดหน้าพระบรมธาตุ ในวันที่ 23 มีนาคม 2549
วาระที่ 6ประกอบพิธีพุทธาภิเษกเป็นปฐมฤกษ์ ณ ศาลหลักเมือง จ.นครศรีธรรมราช ในวันที่ 26 พฤษภาคม 2549
วาระที่ 7 ประกอบพิธีปลุกเสกกลางทะเล ที่ปากน้ำชุมพร สถานที่ซึ่งหลวงพ่อทวดจุ่มเท้าเหยียบ น้ำทะเลจืด ในวันที่ 4 มิถุนายน 2549
วาระที่ 8 ประกอบพิธีบวงสรวงพุทธาภิเษก ณ สำนักวัดเขาอ้อ ในวันที่ 8 มิถุนายน 2549
วาระที่ 9 ประกอบพิธีบวงสรวงสมโภชพุทธาภิเษกกลางหาว รับแสงสุริยันจันทรา ณ วัดหน้าพระบรมธาตุ ในวันที่ 10 มิถุนายน 2549
เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ปัจจุบันนี้วัตถุมงคลที่นับเป็นสุดยอด แห่งเมืองทักษิณที่มีผู้แสวงหากันอย่างกว้างขวางในค่านิยมที่สูงยิ่ง คือ พระหลวงพ่อทวดเนื้อว่านพิมพ์เตารีด ปี 2497 หรือ แม้กระทั่งพิมพ์อื่นๆ ซึ่งสร้างในลำดับต่อมายุคสมัย พระอาจารย์ทิม วัดช้างให้ สำหรับวัตถุมงคลในยุคหลังไม่ถึงยี่สิบปีที่กำลังโด่งดังค่านิยมสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังมีผู้ศรัทธา เสาะแสวงหากันอย่างกว้างขวางคือ พระผงสุริยัน จันทราท้าวจตุคาม-ท้าวรามเทพ ปี 2530 และเหรียญพระปิดตาพังพะกาฬ ปี 25322532 วัตถุมงคลหลักเมือง ที่ค่านิยมระดับ หลักแสนบาท ในปัจจุบัน ทั้งองค์ ท้าวจตุคาม ท้าวรามเทพ พังพะกาฬ และหวงพ่อทวดต่างมีผู้ศรัทธาเคาพรพบูชาขนานนามท่านว่า “พระโพธสัตว์แห่งอาณาจักรทะเลใต้”
วัตถุมงคลทรงคุณค่า รุ่น “ 9 รอบ 9 พิธี 108 ท่านขุนพันธ์” (หลักเมืองรุ่นพิเศษ) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญประการนี้จึงได้จัดสร้างย้อนตำนานวัตถุมงคลสามพระโพธิสัตว์ผู้มากด้วยบุญญาบารมี ด้วยความพิถีพิถันให้ทรงคุณค่าเปี่ยมไปด้วยความเลิศล้ำเข้มขลัง ทรงอิทธิอานุภาพ อันจะนำพาไปบูชาสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลได้อย่างสนิทใจ
พระผงสุริยันจันทราท้าวจตุคาม ท้าวรามเทพ ขนาด 5 ซ.ม.
พระผงสุริยันจันทราท้าวจตุคาม ท้าวรามเทพ ขนาด 3.2 ซ.ม.
พระโพธิสัตว์ท้าวจตุคาม ท้าวรามเทพ ถึงแม้ในห้วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาจะมีการสร้างวัตุมงคลรูปองค์ ของท่านกันมากในรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันตามความเชื่อถือ หากแต่ในการจัดสร้างโดยคุณณสรรค์ พันธรักษ์ราชเดช ซึ่งเป็นผู้กำหนดรูปแบบพิมพ์ทรงและในด้านพิธีกรรม จะยึดมั่นตามหลักฐานที่ปรากฏในวิหาร พระทรงม้า วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร คือ จะต้องครบถ้วนทั้งสองพระองค์ ตามพระนามที่ปรากฏ คือท้าวจัตตุคาม และท้าวรามเทพ ทั้งพระผงและเหรียญในรุ่น “9 รอบ 9 พิธี 108 ปี ท่านขุนพันธ์” (หลักเมืองรุ่นพิเศษ) ก็ยังคงเป็นไปตาม เจตนาเดิมโดยด้านหลังได้อัญเชิญ องค์ท้าวจตุคามและองค์ท้าวรามเทพ ในลักษณะครึ่งพระองค์ภายในกลีบบัวลายไทยประทับสลับกัน โดยมีรูปศาลหลักเมืองจำลองอยู่กึ่งกลางพร้อมด้วยศาลาจตุรทิศครบถ้วนตามสถานที่จริง พร้อมทั้งมีอักษรจารึกไว้ว่า “หลักเมืองรุ่นพิเศษ” นอกจากนี้ยังได้มีการจัดสร้างเหรียญเศียรเจ้าพ่อหลักเมือง หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าเหรียญแสตมป์ขึ้นด้วยอีกหนึ่งพิมพ์ โดยกำหนดให้เป็นยันต์กลับเพื่อกลับร้ายให้กลายเป็นดี
![](http://www.jatukarmtapee.com/product/05/9cycle_07.jpg)
เหรียญพระโพธิสัตว์พังพะกาฬ
![](http://www.jatukarmtapee.com/product/05/9cycle_08.jpg)
พระโพธิสัตว์พังพะกาฬ ตำนานพังพะกาฬ เล่าขานกันว่าเมื่อราวแปดร้อยปีก่อนในนครตามพรลิงค์ พังพะกาฬได้ถือกำเนิดขึ้นในตระกูลชาวนาที่ยากจน ขณะยังเป็นทารกแบเบาะ พ่อแม่ได้ออกทำนาโดยผูกเปลไว้โคนต้นไม้ ขณะทำนาอยู่ไม่ไกลได้เห็นงูจงอางตัวใหญ่กำลังขดตัวพันรอบเปลอารามตกใจจึงได้ตะโกนเสียงดังขับไล่งูจงอางใหญ่จึงได้เลื้อยหนีหายไป พ่อแม่จึงได้รีบวิ่งมาดูปรากฏว่าทาราน้อยพังพะกาฬ ยังหลับอยู่แต่อัศจรรย์ที่ข้างตัวมีลูกแก้วแวววาวอยู่หนึ่งลูก จึงเชื่อว่างูจงอางตัวนั้นแท้ที่จริงเป็นงูเทวดาคาบแก้วมาให้ พังพะกาฬเจริญวัยด้วย สติปัญญาที่เหนือเด็กทั่วไปสนใจใฝ่ศึกษาวิชาคาถาอาคมแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นเป็นประจักษ์อยู่บ่อยๆ ครั้งหนึ่งเคยเล่นต่อสู้กับเพื่อนๆ ปรากฏว่าพังพะกาฬ ได้ใช้ดาบไม้ภาเขฟันคอเพื่อนจนขาดกระเด็นโดยไม่ได้ตั้งใจ ความเก่งกล้าสามารถของพังพะกาฬทำให้ต่อมาในวัยหนุ่มได้เป็นแม่ทัพขุนศึกคู่บรรลังค์ของพระเจ้าจันทรภาณุ ซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งนครตามพรลิงค์ที่ขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักศรีวิชัย ในปี 1773 พระเจ้าจันทรภาณุ ได้สลักศิลาจารึกประกาศเอกราช ทำให้กองทัพศรีวิชัยยกกำลังเข้ารุกรานเพื่อไม่ให้แข็งข้อ พระเจ้าจันทรภาณุ พร้อมด้วย พังพะกาฬ ขุนศึกคู่ใจได้ร่วมกันต่อสู้อย่างไม่กริ่งเกรงเสียขวัญ ขุนศึกพังพะกาฬ ได้ขึ้นไปบนยอดเขาร่ายเวทสาธยายมนตรากวัดแกว่งดาบอย่างคล่องแคล่ว ด้วยอิทธิฤทธิ์ปรากฏว่าเหล่าทหารศรีวิชัยคอขาดกระเด็นเป็นทิวแถววันละหลายสิบคนด้วยแสนยานุภาพแห่งกองทัพพระเจ้าจันทรภาณุ ด้วยมหาเวทมนตราของขุนศึกพังพะกาฬ ในที่สุดกองทัพศรีวิชัยก็พ่ายแพ้ถอยร่นหมดทางสู้กลับสู่ศูนย์กลางอาณาจักร ที่เกาะสุมาตราแล้วอาณาจักรศรีวิชัยที่รุ่งเรื่องมานับพันปีก็ถึงกาลลมสลาย พระเจ้าจันทรภาณุและพังพะกาฬ ขุนศึกคู่ใจได้แผ่ขยายอำนาจยึดเมือรอบข้างต่างๆ ได้และต่อมาตั้งเป็นเมืองสิบสองนักษัตร โดยมีตามพรลิงค์ หรือนครศรีธรรมราชเป็นเมืองศูนย์กลาง
|