พยัคฆ์ศรีวิชัย...หลวงพ่ออิ้น ปภากโร วัดทับใหม่พัฒนา
ประวัติ หลวงพ่ออิ้น ปภากโร เจ้าอาวาสวัดรัชราษฎร์พัฒนา (ทับใหม่พัฒนา) ตั้งอยู่ที่ หมู่4 ตำบลบ้านเสด็จ อำเภอเคียนซา จ.สุราษฎร์ธานี ชื่อเดิม อิ้น ชูเมือง โยมบิดาชื่อนายบุตร โยมแม่ชื่อนางเขียว (มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช) เกิดในวันพฤหัสบดี เดือน๘ ปีระกา พ.ศ. ๒๔๖๔ ในวัยหนุ่มก่อนอุปสมบทท่านชื่นชอบและฝักใฝ่ในวิชาอาคมต่างๆเนื่องจากสมัยก่อนนั้นจำเป็นต้องมีวิชาไว้เพื่อป้องกันตัว องค์ปฐมบรมครูที่สั่งสอนสรรพวิชาให้กับท่านคือโยมพ่อนั่นเอง โดยโยมพ่อเป็นศิษย์ท่านพระอาจารย์ชูเฒ่า วัดพัทธสีมา นครศรีธรรมราช ได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆมากมายหลายวิชา แต่ที่โดดเด่นคือวิชา การทำตะกรุดโทน ซึ่งวิชานี้ก็ได้รับการถ่ายทอดมายังหลวงพ่ออิ้น และถือได้ว่าเป็นสุดยอดเครื่องรางอันเอกอุของท่าน เนื่องจากมีประสบการณ์มากมายจากผู้ที่ได้รับมอบจากท่านและนำไปใช้ติดตัว โยมบิดาท่านสามารถล่วงรู้ถึงกาลมรณะของตนเองและในวันมรณะท่านก็ได้นั่งสมาธิจนดวงวิญญาณออกจากร่าง โดยมรณะในท่านั่งสมาธิมีเพียงเท้าด้านซ้ายเท่านั้นที่ตกลงจากเข่า จากการที่ผูกพันกับวัดพัทธสีมา ท่านจึงได้วนเวียนเรียนรู้ฝึกปรือวิชาอาคมและฝากตัวเป็นศิษย์กับพระเกจิอาจารย์อีกหลายท่าน อาทิ พ่อท่านหนูจันทร์ พ่อท่านอาจารย์โรย พ่อท่านเอียด และยังได้ข้ามเขตไปยังจังหวัดพัทลุงเพื่อศึกษาอาคมเพิ่มเติมจาก พระอาจารย์เอียด วัดดอนศาลา และอาจารย์นำ แก้วจันทร์ (สมัยที่อาจารย์นำยังเป็นฆาราวาส) ซึ่งสหมิกธรรมของท่านคือ หลวงพ่อเอื้อม กตตปุญโญ วัดบางเนียน และหลวงพ่อพ่วง วัดแดง นครศรีธรรมราช กล่าวได้ว่าท่านเป็นศิษย์ทั้งสายเขาอ้อ และสายวัดพัทธสีมา ซึ่งเป็น ๒ สายหลักที่โด่งดังแห่งเมืองใต้
ท่านเล่าเรื่องในอดีตให้ฟังว่า ในระหว่างครองเพศบรรพชิตท่านผ่านประสบการณ์ด้านต่างมาอย่างโชกโชน เคยเป็นทั้งเสือและหัวหน้าหน่วยพื้นที่สีแดง สมัยนั้นเคยหนีการจับกุมไล่ล่าของตำรวจมือปราบท่านขุนพันธ์ฯจอมขมังเวทย์ในระยะประชิดตัว แต่ด้วยอำนาจเดชะบุญของตะกรุดโทนที่ท่านทำใช้เองตามตำราที่ได้เล่าเรียนมาทำให้ท่านรอดพ้นจากภัยอันตรายมาได้หวุดหวิด และเมื่อท่านโดนจับกุมในข้อหาคดีความต่างๆ ถูกนำตัวสู่การพิจารณาของศาล ท่านก็อาศัยบารมีแห่งตะกรุดโทนนี้ ทำให้ศาลยกฟ้องคดีท่านมาจนนับครั้งไม่ถ้วน ด้านการครองเรือนเคยมีภรรยาอยู่กินกันถึง ๗ คน แต่มีบุตรเพียงคนเดียวและได้เสียชีวิตไปแล้ว
ในสมัยที่ท่านปกครองคนในเขตอำเภอเคียนซา ซึ่งสมัยนั้นถูกจัดเป็นพื้นที่สีแดง ท่านมีที่ดินในการปกครองมากมาย มีบริวารห้อมล้อมและคนเกรงขามจำนวนมาก แต่ท่านก็หาได้มีความสุขอย่างแท้จริงเลย หลังจากที่ท่านคิดทบทวนถึงชีวิตที่ผ่านๆมา จึงทำให้รู้ซึ้งถึงสัจจะธรรมความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิต อีกทั้งท่านยังเป็นห่วงชีวิตของชาวบ้านภายใต้การปกครองของท่าน อยากให้ชาวบ้านเหล่านั้นเป็นคนดีได้มีโอกาสรับใช้ประเทศชาติ ในที่สุดท่านจึงได้ตัดสินใจยกที่ดินทั้งหมดเป็นพันๆไร่แจกจ่ายแก่ชาวบ้านเพื่อให้เป็นที่ทำกิน โดยที่ดินเหล่านั้นปัจจุบันอยู่ในเขตพื้นที่หมู่บ้านเขารักษ์ หมู่๘ หมู่๙ ตำบลบ้านเสด็จ อำเภอเคียนซา โดยชื่อหมู่บ้านนั้นท่านเป็นผู้ตั้งชื่อโดยมาจากคำว่า “ คุณรักษา “ ต่อมาเรียกเพี้ยนเป็นเขารักษ์ ( จากประวัติโรงเรียนเขารักษ์ อำเภอเคียนซา ) และท่านยังได้ยกที่ดิน ๑๐๐ ไร่เพื่อจัดตั้งเป็นโรงเรียนขึ้น โดยช่วงแรกได้ชื่อว่า โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๒๒ (ใต้ร่มเย็น) สาขาบ้านเขารักษ์ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนบ้านเขารักษ์ จวบจนปัจจุบัน และท่านยังได้ตั้งกองทุนเพื่อการศึกษาของเด็กนักเรียนไว้ โดยใช้ชื่อว่ากองทุนหลวงพ่ออิ้น ปภากโร ( นายอิ้น ชูเมือง ) อีกด้วย
ปี ๒๕๓๒ หลังจากที่ท่านได้สละสิ่งของนอกกายจนหมดสิ้นแล้วก็ได้ก้าวเข้าสู่ร่มของกาสาวพัสตร์ ณ.พัทธสีมาวัดบางสะพาน ตำบลบางจาก จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีพระครูวิธานชุลาธรณ์เป็นพระอุปัฌชาย์ และท่านได้กลับมาตั้งสำนักสงฆ์บ้านทับใหม่ในเขตพื้นที่สีแดงตามเจตนารมณ์เดิมของท่าน บนเนื้อที่ประมาณ ๑๙ ไร่ ที่มาจากการร่วมกันบริจาคของชาวบ้านที่มีจิตศรัทธาในละแวกนั้น หลังจากนั้นท่านก็เริ่มออกธุดงค์เพื่อแสวงหาในสิ่งที่ท่านยังสงสัย ในการธุดงค์ของท่านนั้นท่านได้ไปทั่วทุกภาคของประเทศไทยและเลยออกไปยังประเทศใกล้เคียงจนท่านพอใจและค้นพบสิ่งที่ท่านสงสัยแล้ว หลังจากนั้นท่านจึงกลับมาที่เดิมและเริ่มพัฒนา สำนักสงฆ์บ้านทับใหม่ อย่างจริงจัง ปัจจุบันกลายเป็นวัด มีกุฏิสำหรับพระสงฆ์จำพรรษา ศาลาปฏิบัติธรรม เมรุ และปัจจุบันกำลังก่อสร้างพระอุโบสถ เพื่อให้เป็นวัดที่สมบูรณ์รองรับชาวบ้านที่เข้ามาสู่ร่มเงาของพระพุทธศาสนา
ปัจจุบันท่านอายุ ๙๔ (พรรษา ๒๒) แต่ยังแข็งแรงและยังโปรดญาติโยมได้ตลอดเวลา ที่สำคัญท่านยังสามารถทำตะกรุดโทน ได้อย่างเข้มขลังและถูกต้องตามตำราแห่งอดีตบูรพาจารย์ พระอาจารย์ชูเฒ่า วัดพัทธสีมาได้เหมือนเดิม โดยวัตถุมงคลทุกรุ่นที่ท่านสร้างจะมีมวลสารสำคัญที่ขาดไม่ได้เป็นส่วนประกอบอยู่คือ แร่เหล็กไหล ๙ ชนิด ซึงท่านแสวงหาและสะสมมาชั่วชีวิตตั้งแต่ตอนเป็นฆาราวาสและตอนที่ท่านออกธุดงค์ เขี้ยวแก้วมังกร เป็นของอาถรรพ์มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวมีฤทธิ์ในการป้องกันและขับไล่สิ่งชั่วร่าย งาช้างกำจัด เป็นของอาถรรพ์มีความศักดิ์สิทธิ์ในการป้องกันสัตว์ร้ายต่างๆและอยู่ยงคงกระพันชาตรี
วัดทับใหม่พัฒนาได้รับการตั้งเป็นวัดจากสำนักงานพระพุทธศาสนา เมื่อ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ .
วันที่ 22 ธันวาคม 2557 เวลา 17.17 น. หลวงปู่อิ้น ปภากโร ได้ละสังขาร ณ โรงพยาบาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี คณะศิษยานุศิษย์ได้จัดพิธีรดน้ำสรีระสังขาร ในวันที่ 23 ธันวาคม และประกอบพิธีสวดพระอภิธรรมศพเป็น เวลา 17 คืน ได้ประกอบพิธีปิดศพเมื่อ วันที่ 8 มกราคม 2558 เวลา 13.00 น. โดยมีพระอุดมธรรมปรีชา วัดพระโยค รองเจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายฉัตรป้อง ฉัตรภูติ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นประธานฝ่ายคฤหัสภ์
หลวงพ่ออิ้น ปภากโร เมตตาให้ถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกในคราวไปกราบนมัสการ ณ.วัดทับใหม่พัฒนา เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554